สวัสดีครับพี่ๆชาวพันทิป
วันนี้มีเรื่องที่หวนชวนคิดถึงอดีตในวันเด็กคิดว่าพี่ๆหลายๆท่านคงเคยประสบมาเหมือนกัน
ผมเป็นจังหวัดเชียงรายครับ บ้านอยู่อำเภอรอบนอกเรียกว่าชนบทเลยก็ได้ครับใช้ชีวิตแบบเด็กชนบทมาทุ่งนา ป่าเขา เป็นชีวิตปกติ เกิดที่นี่เรียนหนังสือก็เรียนโรงเรียนประจำหมู่บ้าน มีเพื่อนหลากหลายครับทั้งคนพื้นเมืองแล้วก็คนดอยโตมาด้วยกันแก้ผ้าเล่นน้ำด้วยกันมา เรียนที่โรงเรียนนี้ตั้งแต่อนุบาลจนจบ ม 3 แล้วเพื่อนต่างคนก็แยกย้ายกันไป บางคนไปเรียนสายอาชีพ บางคนไปเรียนต่อ ม 4 ที่โรงเรียนประจำอำเภอ บางคนตัดสินใจไม่เรียนหนังสือ ผมเองแม่เป็นครูครับแม่ส่งให้ไปเรียนในเมืองเชียงใหม่ไปอยู่กับน้าเป็นครูเหมือนกันสอนอยู่ที่เชียงใหม่เวลากลับบ้านมาก็เจอเพื่อนเก่าบ้างไม่เจอบ้างเพราะตอนจบ ม3 ตอนนั้นยังไม่มีเบอร์โทร หรืออะไรใว้ให้กันรู้จักแต่บ้านกันเท่านั้นบ้านก็อยู่ใกล้ๆกัน ผมเองอยู่เชียงใหม่จนเรียนจบ มหาวิทยาลัยที่เชียงใหม่ พร้อมๆกับเพื่อนที่จบ ม3 มาด้วยกันเพียงไม่กี่คน เพื่อนจบที่อื่นนะครับ พะเยาบ้าง เชียงราย บ้างครับ ตอนเรียนจบปุ๊บเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี่เองก็ได้ไปโครงการฝึกงานบริษัทแนวหน้าของไทยบริษัทหนึ่งทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆที่ยังไม่เคยเห็นรู้ว่าโลกนี้ยังมีอะไรใหม่ๆให้เรียนรู้อีกมากเจอเพื่อนเก่งๆจากมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของไทยเขามีวิธีคิดที่เป็นระบบเป็นผู้ใหญ่กว่าเราสัก 5 ปีได้เลย ก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดกันมุมมองเรากว้างขึ้นมาก จากที่เคยอยู่ในอำเภอที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขา หลังจากโครงการฝึกงานจบลงผมก็กลับมาอยู่ที่บ้านที่เชียงรายเป็นช่วงหางานก็มองงานในเมือง กทม หรือ เชียงใหม่ ใว้ครับเพราะแถวบ้านก็ไม่มีอะไรนอกจากการเกษตร และแล้วไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เองคุณครูที่โรงเรียนเก่าเห็นเรามาตั้งแต่เด็กๆครูรักเราเหมือนลูกครับผูกพันกันเป็นครูในชนบทเวลาชาวบ้านมีปัญหาอะไรก็จะไปหาคุณครูทีนี้ท่านเสียครับตรงกับวันหยุดวันแม่ 4 วันนี้พอดี ทำให้เพื่อนรุ่น ม 3 ได้กลับมารวมตัวกันในงานศพครูพอเสร็จจากงานศพเราก็ไปนั่งคุยกันที่บ้านเอกๆเป็นลูกเขยโรงสีข้าวครับบ้านกว้างขวาง คุยกันเรื่องในวัยเด็กจนมาถึงชีวิตปัจจุบันจนมาถึงเรื่องหน้าที่การงานของแต่ละคน เริ่มตั้งแต่เพื่อนที่จบ ป ตรี เป็น QC อยู่โรงงานผักกาดดองในเมือง อีกคนช่วยอาจารย์ทำวิจัยที่มหาวิทยาลัย เรทเงินเดือนหมื่นกว่าบาท อีกคนจบ ปวช สายช่าง ก็กลับมาช่วยกิจการโรงสีที่บ้าน อุ้มเป็นสายสิบ แบงค์พ่อแม่ตายหมดวันพ่อวันแม่ไม่เคยรู้จักครับอยู่กับป้าตั้งแต่เด็กป้าก็เลี้ยงเหมือนแมวโตมาพอเดินได้เองก็ปล่อยให้หากินเองชีวิตติดลบแต่จิตใจเขาแข็งแกร่งมากจบ ม 3 ไปบวชก่อนไปอยู่ กทม ไปทำงานลากสายไฟตอนนี้มา ขาย ประกันได้เบี้ยเดือนจะสี่หมื่นแล้ว
เอกจบ ปวช ได้เป็นเขยท่าข้าวโพดเอกก็พูดเรื่องชีวิตให้ฟังเพราะเอกตอนเด็กไม่ได้ร่ำรวยอะไรครับบ้านอยู่บนดอยทำสวนเมี่ยง เอกลงมาเรียนหนังสือที่โรงเรียนเอกรูปหล่อครับเป็นแฟนกับ วิ ตั้งแต่ ม 3 จนถึงตอนนี้ก็แต่งงานมีลูกกัน กิจการโรงสีที่บ้าน วิ พ่อแม่ก็ยกให้เอกกับวิบริหารทั้งหมด รถสิบล้อ อีกสามคัน คันใหม่นี้เพิ่งออกเห็นว่า 5 ล้านบาท ผ่อนเดือนเกือบแสนเรียกได้ว่ารวยครับในชนบทแบบนี้ใครมีรถพ่วงมีโรงสีถือว่ารวยมาก เอกเล่าให้ฟังหมดว่าต้องทำอะไรบ้างรายได้เท่าไรช่วงหน้าข้าวโพดนี่เดือนๆนึงได้เป็นล้านเลยครับฟอจูนเนอร์เอกจะออกทีล่ะ 5 คันก็ได้เอกบอกและเป็นแบบนี้จริงๆแต่เขาก็ใช้ชีวิตปกติใส่เสื้อผ้าซื้อตลาดนัดธรรมดาครับเพราะเราโตมาแบบนี้ไม่ได้อวดใครเพราะไม่มีใครให้อวดในชนบทแบบนี้ เอกก็บอกเพื่อนที่จบ ป ตรี แล้วทำงานในเมืองว่าทำใมไม่กลับมาอยู่บ้านเราผมบ้านติดถนนใหญ่เปิดร้านขายปุ๋ยก็ได้สบายค่าใช้จ่ายก็ไม่สูงเก็บผักตกปลากินเงินเหลือเก็บเยอะอันนี้คือมุมมองของเอกครับก้เข้าใจดีว่าเขาไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้มาอยู่กรุงเทพแบบผมแต่เอกเรียนรู้จากมหาลัยชีวิตแทบทั้งหมด
มาดูในมุมมองผมบ้าง อย่างที่ได้บอกไปตอนต้นพอได้เรียนมหาวิทยาลัยในเมืองสังคมก็เปลี่ยนไปเพื่อนเรียนจบก็มุ่งเข้าทำงานในองค์กรใหญ่ๆผมก็ตามไปกับเขาเพราะเราอยากเรียนรู้การทำงานที่เป็นระบบเป็นมืออาชีพ แล้วแม่ผมเป็นครูเวลามีเพื่อนแม่ชอบถามว่าทำงานที่ใหนแม่จะได้ตอบแบบไม่อาย
ลูกครูคนอื่นเขาได้ดีกันหมด ผมอยากยืนด้วยตัวเองอยากซื้อบ้านด้วยเงินตัวเอง อยากซื้อรถด้วยเงินตัวเอง ผมเองคิดว่าหลังจากเรียนจบแล้วจะไม่ขอเงินแม่อีกครับ อาจจะลำบากหน่อย
>>>>เพื่อนแถวบ้านบางคนทั้งญาติรวมทั้งแม่ต่างบอกกับผมว่า เป้ไม่ต้องหางานทำก็ได้แม่เงินเยอะแยะเปิดร้านขายอะไรหน้าบ้าน
สบายจะตาย
>>ผมอยากทราบว่าอะไรทำให้เขาคิดได้แบบนี้ที่ต้องรอกินบุญเก่าของพ่อแม่ ยึดติดอยู่ตรงที่คำว่า "สบาย" "ไม่ต้องคิดอะไร" "ไม่ต้องไปใหน" เขาไม่อยากยืนได้ด้วยตัวเองหรือครับ ไม่อยากพิสูจให้พ่อแม่ได้เห็นหรือว่าเราก็เลี้ยงตัวเองเลี้ยงพ่อแม่ได้สามารถเข้าทำงานในองค์กรใหญ่ๆมีคนยอมรับมีสังคมที่ดีขึ้น สังคมวัยรุ่นแถวบ้านนอกใครอยากเป็นจ่าฝูงใจต้องถึงเรื่องตีเรื่องต่อยยกเหล้าเก่งผ่านมา 10 ปี ก็ยังเหมือนเดิม ต่างจากวัยรุ่นในเมืองที่จะเป็นจ่าฝูงต้องมีความสามารถมองการใกลเรียนเก่ง
เขาไม่มีความฝันความทะเยอทะยานอยากทำอะไรใหม่ๆตามฝันของตัวเองเลยหรือ
>ถ้าผมเลือกเดินออกไปทำงานในเมืองยืนได้ด้วยตังเองก็จะได้สิ่งที่เคยกล่าวใว้ครับประสบการณ์สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้
>ถ้าเลือกอยู่บ้าน ก็สบายๆไม่ต้องคิดอะไร ได้เงินเยอะจริง พ่อแม่มีทุนให้แต่จะไม่ได้เห็นอะไรใหม่ๆแล้วทั้งๆที่โลกนี้มีอะไรให้เราเรียนรู้อีกเยอะที่สำคัญผมละอายใจตัวเอง
ในมุมมองของพี่ๆมองว่าอย่างไรบ้างครับมาแชร์กันนะครับ "เพราะว่ายังใงผลสุดท้ายเราก็ต้องการเงินเหมือนกัน"ผมอาจจะพิมกำกวมไปหน่อยต้องขออภัย
ผมจบ ป ตรี พูดเงินหมื่น เพื่อนเก่าจบ ม.3 พูดเงินล้าน
วันนี้มีเรื่องที่หวนชวนคิดถึงอดีตในวันเด็กคิดว่าพี่ๆหลายๆท่านคงเคยประสบมาเหมือนกัน
ผมเป็นจังหวัดเชียงรายครับ บ้านอยู่อำเภอรอบนอกเรียกว่าชนบทเลยก็ได้ครับใช้ชีวิตแบบเด็กชนบทมาทุ่งนา ป่าเขา เป็นชีวิตปกติ เกิดที่นี่เรียนหนังสือก็เรียนโรงเรียนประจำหมู่บ้าน มีเพื่อนหลากหลายครับทั้งคนพื้นเมืองแล้วก็คนดอยโตมาด้วยกันแก้ผ้าเล่นน้ำด้วยกันมา เรียนที่โรงเรียนนี้ตั้งแต่อนุบาลจนจบ ม 3 แล้วเพื่อนต่างคนก็แยกย้ายกันไป บางคนไปเรียนสายอาชีพ บางคนไปเรียนต่อ ม 4 ที่โรงเรียนประจำอำเภอ บางคนตัดสินใจไม่เรียนหนังสือ ผมเองแม่เป็นครูครับแม่ส่งให้ไปเรียนในเมืองเชียงใหม่ไปอยู่กับน้าเป็นครูเหมือนกันสอนอยู่ที่เชียงใหม่เวลากลับบ้านมาก็เจอเพื่อนเก่าบ้างไม่เจอบ้างเพราะตอนจบ ม3 ตอนนั้นยังไม่มีเบอร์โทร หรืออะไรใว้ให้กันรู้จักแต่บ้านกันเท่านั้นบ้านก็อยู่ใกล้ๆกัน ผมเองอยู่เชียงใหม่จนเรียนจบ มหาวิทยาลัยที่เชียงใหม่ พร้อมๆกับเพื่อนที่จบ ม3 มาด้วยกันเพียงไม่กี่คน เพื่อนจบที่อื่นนะครับ พะเยาบ้าง เชียงราย บ้างครับ ตอนเรียนจบปุ๊บเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี่เองก็ได้ไปโครงการฝึกงานบริษัทแนวหน้าของไทยบริษัทหนึ่งทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆที่ยังไม่เคยเห็นรู้ว่าโลกนี้ยังมีอะไรใหม่ๆให้เรียนรู้อีกมากเจอเพื่อนเก่งๆจากมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของไทยเขามีวิธีคิดที่เป็นระบบเป็นผู้ใหญ่กว่าเราสัก 5 ปีได้เลย ก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดกันมุมมองเรากว้างขึ้นมาก จากที่เคยอยู่ในอำเภอที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขา หลังจากโครงการฝึกงานจบลงผมก็กลับมาอยู่ที่บ้านที่เชียงรายเป็นช่วงหางานก็มองงานในเมือง กทม หรือ เชียงใหม่ ใว้ครับเพราะแถวบ้านก็ไม่มีอะไรนอกจากการเกษตร และแล้วไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เองคุณครูที่โรงเรียนเก่าเห็นเรามาตั้งแต่เด็กๆครูรักเราเหมือนลูกครับผูกพันกันเป็นครูในชนบทเวลาชาวบ้านมีปัญหาอะไรก็จะไปหาคุณครูทีนี้ท่านเสียครับตรงกับวันหยุดวันแม่ 4 วันนี้พอดี ทำให้เพื่อนรุ่น ม 3 ได้กลับมารวมตัวกันในงานศพครูพอเสร็จจากงานศพเราก็ไปนั่งคุยกันที่บ้านเอกๆเป็นลูกเขยโรงสีข้าวครับบ้านกว้างขวาง คุยกันเรื่องในวัยเด็กจนมาถึงชีวิตปัจจุบันจนมาถึงเรื่องหน้าที่การงานของแต่ละคน เริ่มตั้งแต่เพื่อนที่จบ ป ตรี เป็น QC อยู่โรงงานผักกาดดองในเมือง อีกคนช่วยอาจารย์ทำวิจัยที่มหาวิทยาลัย เรทเงินเดือนหมื่นกว่าบาท อีกคนจบ ปวช สายช่าง ก็กลับมาช่วยกิจการโรงสีที่บ้าน อุ้มเป็นสายสิบ แบงค์พ่อแม่ตายหมดวันพ่อวันแม่ไม่เคยรู้จักครับอยู่กับป้าตั้งแต่เด็กป้าก็เลี้ยงเหมือนแมวโตมาพอเดินได้เองก็ปล่อยให้หากินเองชีวิตติดลบแต่จิตใจเขาแข็งแกร่งมากจบ ม 3 ไปบวชก่อนไปอยู่ กทม ไปทำงานลากสายไฟตอนนี้มา ขาย ประกันได้เบี้ยเดือนจะสี่หมื่นแล้ว
เอกจบ ปวช ได้เป็นเขยท่าข้าวโพดเอกก็พูดเรื่องชีวิตให้ฟังเพราะเอกตอนเด็กไม่ได้ร่ำรวยอะไรครับบ้านอยู่บนดอยทำสวนเมี่ยง เอกลงมาเรียนหนังสือที่โรงเรียนเอกรูปหล่อครับเป็นแฟนกับ วิ ตั้งแต่ ม 3 จนถึงตอนนี้ก็แต่งงานมีลูกกัน กิจการโรงสีที่บ้าน วิ พ่อแม่ก็ยกให้เอกกับวิบริหารทั้งหมด รถสิบล้อ อีกสามคัน คันใหม่นี้เพิ่งออกเห็นว่า 5 ล้านบาท ผ่อนเดือนเกือบแสนเรียกได้ว่ารวยครับในชนบทแบบนี้ใครมีรถพ่วงมีโรงสีถือว่ารวยมาก เอกเล่าให้ฟังหมดว่าต้องทำอะไรบ้างรายได้เท่าไรช่วงหน้าข้าวโพดนี่เดือนๆนึงได้เป็นล้านเลยครับฟอจูนเนอร์เอกจะออกทีล่ะ 5 คันก็ได้เอกบอกและเป็นแบบนี้จริงๆแต่เขาก็ใช้ชีวิตปกติใส่เสื้อผ้าซื้อตลาดนัดธรรมดาครับเพราะเราโตมาแบบนี้ไม่ได้อวดใครเพราะไม่มีใครให้อวดในชนบทแบบนี้ เอกก็บอกเพื่อนที่จบ ป ตรี แล้วทำงานในเมืองว่าทำใมไม่กลับมาอยู่บ้านเราผมบ้านติดถนนใหญ่เปิดร้านขายปุ๋ยก็ได้สบายค่าใช้จ่ายก็ไม่สูงเก็บผักตกปลากินเงินเหลือเก็บเยอะอันนี้คือมุมมองของเอกครับก้เข้าใจดีว่าเขาไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้มาอยู่กรุงเทพแบบผมแต่เอกเรียนรู้จากมหาลัยชีวิตแทบทั้งหมด
มาดูในมุมมองผมบ้าง อย่างที่ได้บอกไปตอนต้นพอได้เรียนมหาวิทยาลัยในเมืองสังคมก็เปลี่ยนไปเพื่อนเรียนจบก็มุ่งเข้าทำงานในองค์กรใหญ่ๆผมก็ตามไปกับเขาเพราะเราอยากเรียนรู้การทำงานที่เป็นระบบเป็นมืออาชีพ แล้วแม่ผมเป็นครูเวลามีเพื่อนแม่ชอบถามว่าทำงานที่ใหนแม่จะได้ตอบแบบไม่อาย
ลูกครูคนอื่นเขาได้ดีกันหมด ผมอยากยืนด้วยตัวเองอยากซื้อบ้านด้วยเงินตัวเอง อยากซื้อรถด้วยเงินตัวเอง ผมเองคิดว่าหลังจากเรียนจบแล้วจะไม่ขอเงินแม่อีกครับ อาจจะลำบากหน่อย
>>>>เพื่อนแถวบ้านบางคนทั้งญาติรวมทั้งแม่ต่างบอกกับผมว่า เป้ไม่ต้องหางานทำก็ได้แม่เงินเยอะแยะเปิดร้านขายอะไรหน้าบ้าน
สบายจะตาย
>>ผมอยากทราบว่าอะไรทำให้เขาคิดได้แบบนี้ที่ต้องรอกินบุญเก่าของพ่อแม่ ยึดติดอยู่ตรงที่คำว่า "สบาย" "ไม่ต้องคิดอะไร" "ไม่ต้องไปใหน" เขาไม่อยากยืนได้ด้วยตัวเองหรือครับ ไม่อยากพิสูจให้พ่อแม่ได้เห็นหรือว่าเราก็เลี้ยงตัวเองเลี้ยงพ่อแม่ได้สามารถเข้าทำงานในองค์กรใหญ่ๆมีคนยอมรับมีสังคมที่ดีขึ้น สังคมวัยรุ่นแถวบ้านนอกใครอยากเป็นจ่าฝูงใจต้องถึงเรื่องตีเรื่องต่อยยกเหล้าเก่งผ่านมา 10 ปี ก็ยังเหมือนเดิม ต่างจากวัยรุ่นในเมืองที่จะเป็นจ่าฝูงต้องมีความสามารถมองการใกลเรียนเก่ง
เขาไม่มีความฝันความทะเยอทะยานอยากทำอะไรใหม่ๆตามฝันของตัวเองเลยหรือ
>ถ้าผมเลือกเดินออกไปทำงานในเมืองยืนได้ด้วยตังเองก็จะได้สิ่งที่เคยกล่าวใว้ครับประสบการณ์สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้
>ถ้าเลือกอยู่บ้าน ก็สบายๆไม่ต้องคิดอะไร ได้เงินเยอะจริง พ่อแม่มีทุนให้แต่จะไม่ได้เห็นอะไรใหม่ๆแล้วทั้งๆที่โลกนี้มีอะไรให้เราเรียนรู้อีกเยอะที่สำคัญผมละอายใจตัวเอง
ในมุมมองของพี่ๆมองว่าอย่างไรบ้างครับมาแชร์กันนะครับ "เพราะว่ายังใงผลสุดท้ายเราก็ต้องการเงินเหมือนกัน"ผมอาจจะพิมกำกวมไปหน่อยต้องขออภัย